สรุปการวิจารณ์วรรณกรรมด้วยทฤษฎีมาร์กซิสต์
เรื่องสั้น “มีดประจำตัว” เป็นเรื่องเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสังคมของเรามีความโหดร้ายทารุณ และป่าเถื่อนเพียงใด คนที่มีอำนาจ อิทธิพล มีฐานะทางสังคมสูง แท้จริงแล้วก็กินได้แม้กระทั่งเนื้อมนุษย์ด้วยกัน เพราะแต่ละคนต่างมีมีดประจำตัวของตนเอง ยิ่งร่ำรวยมีอำนาจมาก มีไหวพริบมาก มีการศึกษามาก มีดประจำตัวของตนเองก็ยิ่งมีความแหลมคมมากเช่นกัน จากเนื้อหาโดยรวมที่สะท้อนภาพการกระทำและความคิดของบุคคลระดับสูง (พวกนายทุน) ที่คอยแต่จะสูบเลือดเฉือนเนื้อเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ที่พวกเขาเรียกว่า คนชั้นต่ำ (ชนชั้นกรรมาชีพ) อย่างไร้ความปราณี
เรื่องสั้นนี้มีความยาวเพียง ๑๘ หน้ากระดาษ (หนังสือขนาดครึ่งกระดาษ A๔) แต่ในตัวอักษรที่ร้อยเรียงเพียงสั้นๆ นั้น สามารถสะท้อนให้เห็นทั้งสภาพสังคม แนวคิดของกระฎุมพีรวมทั้งแสดงให้เห็นตัวตน มุมมอง ความคิดของผู้แต่งได้มากทีเดียว การแต่งเรื่องสั้นมีความยากและพิเศษตรงที่ ผู้แต่งต้องถ่ายทอดความคิด อารมณ์ ที่ต้องการสื่อให้มากที่สุดผ่านตัวละครเพียงไม่กี่ตัว และจะต้องดึงดูดความสนใจ รวมทั้งเสนอแนวคิดให้ผู้อื่นได้รับและคิดต่อยอดไป ดังนั้นการรู้จักผู้แต่งก็จะทำให้เราสามารถเข้าใจ และมองภาพที่สะท้อนผ่านวรรณกรรมที่ผู้เขียนต้องการสื่อได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะมุมมองและแนวคิดของผู้แต่งนั่นเอง
ชาติ กอบจิตติผู้แต่งวรรณกรรมเรื่องมีดประจำตัว เป็นนักเขียนผู้มีผลงานทั้งนวนิยายและเรื่องสั้นแม้จะมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับนักเขียนคนอื่น แต่ผลงานของเขาเปี่ยมด้วยคุณภาพทั้งด้านแนวความคิดอันแสดงสำนึกเชิงสังคมและด้านวรรณศิลป์อันแสดงนวัตกรรมของการสร้างสรรค์ งานของเขาสะท้อนสังคมไทยอยู่ไม่น้อย ชาติ กอบจิตติจึงเป็นแบบอย่างทั้งแนวคิด แนวเขียน แก่นักเขียน นักอ่านร่วมสมัย และเป็นเสียงแห่งมโนสำนึกของยุคสมัยที่ปลุกผู้อ่านให้พิจารณาความเป็นจริงของโลกและชีวิตอย่างไม่ย่อท้อ และงานเขียนเรื่องมีดประจำตัวก็เป็นงานเขียนที่สะท้อนความเป็นจริงของโลกและชีวิตสังคมปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
จากเรื่องสั้น “มีดประจำตัว” เมื่อพิจารณาเนื้อหาโดยใช้ทฤษฎีมาร์กซิสต์จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่สะท้อนภาพสังคมของคนชนชั้นกลาง (กลุ่มทุนนิยมหรือพวกนายทุน) ที่มีความคิด ค่านิยมที่คิดว่าตนเองคือคนชั้นสูง มีเงิน มีอำนาจ อยู่เหนือผู้อื่นในทุกๆ เรื่อง แบ่งแยกชนชั้นจากคนชั้นต่ำ (พวกกรรมกร) โดยสิ้นเชิง ดังที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง เช่น “คืนนี้จะเป็นการเริ่มต้นครั้งสำคัญของเขา มันจะบ่งชี้ว่าลูกชายของผมจะเป็นคนในระดับผมได้หรือไม่ หรือว่าเขาจะล้มเหลวกลายเป็นพวกมนุษย์ชั้นต่ำ” (ชาติ กอบจิตติ. ๒๕๒๗ : ๑๘๒) และอีกตัวอย่างหนึ่ง ในตอนที่แขกในงานเลี้ยงกำลังเตรียมตัวกินเนื้อมนุษย์ เช่น “ทุกคนต่างสรวลกับการผูกผ้ากันเปื้อนอยู่ในความสลัวราวกับกุ๊กภัตตาคารกำลังเตรียมตัวก่อนจะสับหมู หรือสับเนื้อ แต่เกรงว่าเลือดของสัตว์บนเขียงจะกระเซ็นมาเปื้อนเสื้อผ้าอันสะอาดสะอ้านของเขา” (ชาติ กอบจิตติ. ๒๕๒๗ : ๑๘๙ – ๑๙๐) ผู้เล่า (ตัวละครที่เป็นพ่อ) ใช้คำว่า
“สัตว์” แทนมนุษย์ นั่นแสดงให้เห็นถึงการดูถูกและมองมนุษย์ทั่วไปเป็นคนที่ไร้ค่าไม่ต่างกับสัตว์ตัวหนึ่งนั่นเอง
“สัตว์” แทนมนุษย์ นั่นแสดงให้เห็นถึงการดูถูกและมองมนุษย์ทั่วไปเป็นคนที่ไร้ค่าไม่ต่างกับสัตว์ตัวหนึ่งนั่นเอง
อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัว โหดร้ายทารุณ ไร้ความปราณีของชนชั้นนายทุนคือ “สงสารมันไม่ได้หรอก ไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำพวกนี้ มันเกิดมาเพื่อให้คนอย่างพวกเรากิน ถ้าเราสงสารมันเราก็ไม่มีความสุข...” ภรรยาพูดเสริมให้ลูกฟัง (ชาติ กอบจิตติ. ๒๕๒๗ : ๑๙๐ – ๑๙๑)
นอกจากความรู้สึกสำนึกคิดของคนชั้นกลาง (นายทุน) ที่สะท้อนผ่านการกระทำและคำพูดของตัวละครแล้ว “มีดประจำตัว” ยังสะท้อนให้เห็นภาพของชนชั้นกรรมาชีพ ที่แตกต่างจากชนชั้นนายทุนอย่างชัดเจนราวฟ้ากับเหว ดังที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง เช่น “ผมชูแก้วขึ้นโดยไม่ได้หันไปมองคนรับใช้ประจำโต๊ะ ผมรู้ว่าเขาต้องพร้อมจะรับคำสั่งอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นไอ้คนประเภทไม่มีสิทธิ์ มีมีดประจำตัว เขารู้ตัวว่าจะต้องไม่ทำอะไรให้คนอย่างผมโกรธ” (ชาติ กอบจิตติ. ๒๕๒๗ : ๑๘๔) และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ “ถ้าแกจะผ่าเหล่าผ่ากอก็ตามใจแก คิดให้ดีก็แล้วกัน เพราะนั่นหมายถึงวิถีชีวิตแกจะต้องเปลี่ยนไปเป็นไอ้พวกมนุษย์ชั้นต่ำ อีกหน่อยถ้าแกมีเมียมีลูก อดอยากเข้าก็ต้องเอาลูกไปขายเป็นสินค้าข้างถนน ให้คนมีมีดประจำตัวซื้อไปแร่เนื้อเถือหนัง ดูดเลือด ดูดสมองมากิน...” (ชาติ กอบจิตติ. ๒๕๒๗ : ๑๘๗)
ตัวอย่างที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงสถานะที่ต่ำต้อย ด้อยค่า ของคนชนชั้นกรรมาชีพหรือคนชั้นต่ำ ที่ต้องคอยรับใช้และบริการให้ความสะดวกสบายแก่พวกเจ้านายและเป็นผู้ถูกกระทำเมื่อพวกเจ้านายต้องการ อย่างไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรได้เลย
ผู้แต่งเลือกใช้คำว่า “มีดประจำตัว” เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งหนึ่ง “มีดประจำตัว” คือสิ่งที่มีเฉพาะตัวไม่ตกทอดหรือใช้แทนกันไม่ได้ มอบให้กันไม่ได้ ไม่ใช่เพราะความรู้ และฐานะทางสังคมเท่านั้นที่จะทำให้ “ลูก” (ตัวเอก) ผ่านการทดสอบให้ใช้ “มีดประจำตัว” ได้ดังนั้น “มีดประจำตัว” จึงน่าจะหมายถึงความโหดร้ายใจดำของคน หรือ “ความไร้มนุษยธรรม” นั่นเอง สังเกตว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกินคนได้ในสังคมนี้ ไม่ใช่เพราะพื้นฐานครอบครัว การศึกษา ฐานะทางสังคมหรือฐานะทางเศรษฐกิจ เพราะถ้ามีดประจำตัวเป็นแค่ที่กล่าวมานั้น ตัวเอกในเรื่องก็คงไม่มีปัญหาเรื่อง “มีดประจำตัว” เพราะพ่อเพิ่งโอนหุ้นในบริษัทให้ถือครองเป็นผู้บริหารมีอำนาจแล้ว (ดังนั้น “อำนาจ” ก็คงไม่ใช่สัญลักษณ์ของมีดประจำตัว) แต่ลูกชายต้องถูกทดสอบคุณสมบัติก่อนคือ ใช้มีดประจำตัวได้หรือไม่ สามารถที่จะใช้ฐานะทางเศรษฐกิจเช่นว่านั้น
“เอาเปรียบ” ผู้ด้อยกว่าในสังคมได้หรือไม่ โดยปราศจากความสงสาร หิริโอตัปปะและอื่นๆ
“เอาเปรียบ” ผู้ด้อยกว่าในสังคมได้หรือไม่ โดยปราศจากความสงสาร หิริโอตัปปะและอื่นๆ
จะเห็นว่าบางตอนในเรื่องก็เล่าเรื่องของคนที่ขายลูก ขายเพื่อน ขายพ่อแม่ เพื่อให้ได้สิทธิ์มีมีดประจำตัว ยิ่งตอกย้ำความโลภในจิตใจของมนุษย์ ภาพสังคมที่ให้ความสำคัญกับวัตถุมากกว่าจิตใจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดปรัชญาของ Marx ที่เชื่อว่าวัตถุ (Material) เท่านั้น ที่เป็นสิ่งแท้จริง ความคิดและการทำงานของจิตใจเป็นเพียงการสะท้อนออกของวัตถุและสภาพสังคมที่ถูกกำหนดโดยวัตถุ ปรัชญานี้ถูกขนานนามว่าวัตถุนิยมวิภาษวิธี (Dialectical materialism)
เหตุผลที่มนุษย์ทุกคนต้องพยายามดิ้นรนขวนขวาย หาทางถีบตนเองขึ้นสู่สังคมชั้นสูงเป็นนายทุนหรือเจ้านาย ก็เนื่องมาจากความรู้สึกแปลกแยกที่เกิดขึ้นในจิตใจ เกิดจากความรู้สึกถูกกดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบสารพัด ซึ่ง Marx ได้กล่าวไว้ว่า ความรู้สึกเหล่านี้จะก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจของชนชั้นปกครองในที่สุด
ในเรื่อง “มีดประจำตัว” ไม่ได้เสนอภาพการลุกฮือขึ้นต่อต้านหรือการเรียกร้องอะไรของชนชั้นล่าง เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นโรงภาพยนตร์ฉายภาพการกดขี่ข่มเหงชีวิตและจิตใจของพวกนายทุนที่กระทำต่อชนชั้นล่างเท่านั้น นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นความขัดแย้งภายในจิตใจของลูก (ตัวเอก) ว่าไม่ปรารถนาที่จะทำร้ายผู้อื่นแต่อีกใจหนึ่งก็ต้องทำเพื่อการเอาตัวรอดและหลีกเลี่ยงคำพูดที่ด่าทอประชดประชันเสียดสีจากผู้เป็นพ่อ ลุกจำเป็นต้องซึมซับความโหดร้ายของคนรอบข้าง นายทุนเอาเด็กก็เปรียบเสมือนผ้าบริสุทธิ์ ที่มีจิตใจ มีเมตตาอารีอยู่ เหมือนกับคนที่เห็นชนชั้นล่างที่โดนนายทุนเอาเปรียบแล้วสงสาร คิดโทษพวกนายทุนสารพัด แต่เมื่อเด็กอยู่ในสังคมนั้นและได้ลิ้มลองเนื้อมนุษย์แล้ว ตัวเด็กเปลี่ยนจากคนจิตใจอารีมาเป็นเหมือนพ่อและแม่ของเขาที่หิวกระหายเลือดเนื้อมนุษย์เหมือนกัน เช่นเดียวกับคนได้เข้าสู่สังคมแบบนั้นแล้วได้รับรู้รสชาติผลประโยชน์ต่างๆที่ได้มาแล้วเกิดกิเลส ความโลภเข้าครอบงำจิตใจอย่างยากที่จะสลัดมันออกไปจากความรู้สึกนึกคิดได้ ราวกับผ้าขาวที่เปื้อนหมึกดำแล้วไม่มีทางที่จะซักให้ขาวสะอาดดังเดิมได้
สำหรับภาษาที่ผู้แต่งได้บรรจงร้อยเรียงขึ้นนั้น ทุกตัวอักษรเต็มไปด้วยพลังที่สามารถสะกดคนอ่านให้ตกอยู่ในอารมณ์หวาดเสียว ขยะแขยง และการจินตนาการถึงสีหน้าท่าทางของตัวละคร และบรรยากาศในงานเลี้ยงที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นวรรณกรรมที่ทำให้ผู้อ่านตกอยู่ในภาพ “มายาอันสมบูรณ์” ได้อย่างไม่มีข้อกังขาได้เลย
จากเนื้อหาของวรรณกรรมเรื่องนี้มีความดีเด่นในการสะท้อนภาพสังคมในปัจจุบันที่มีความสัมพันธ์กับวัตถุนิยม ค่านิยมทางเศรษฐกิจอันก่อให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้นขึ้น เรื่องมีดประจำตัวก็เหมือนกับการกดขี่และการเอารัดเอาเปรียบโดยชนชั้นสูงในสังคมไทยในปัจจุบัน หากท่านเคยไปดูที่โรงงานต่างๆ หรือดูงานก่อสร้างท่านจะเห็นว่าคนงานพวกนี้ทำงานหามรุ่งหามค่ำ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากยากจนข้นแค้นและสภาพการทำงานที่เป็นอันตรายต่อชีวิตคนงานและกัดกร่อนชีวิตคนเหล่านั้นไปช้าๆ โดยที่คนเหล่านั้นได้รับค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด นอกจากนี้การใช้สัญลักษณ์ก็นับว่าเป็นจุดเด่นอีกประการหนึ่งของวรรณกรรมเรื่องนี้นั่นคือ “มีดประจำตัว” ซึ่งเป็นการใช้สัญลักษณ์ที่ลงตัว เหมาะสมกับบรรยากาศงานเลี้ยงและเนื้อหาของเรื่อง ทางกลุ่มคิดว่าวรรณกรรมเรื่องนี้ควรค่าแก่การได้รับการยกย่องและคงเป็นวรรณกรรมที่สามารถจุดประกายให้ผู้อ่านหลายคนฉุกคิดได้ว่า “ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงสู่ความเท่าเทียมกันในสังคม”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น